นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวถึงสถานการณ์การค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เกิดจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ เนื่องจากนักวิเคราะห์และตลาดมีมุมมองเกี่ยวกับนโยบายการเงินของสหรัฐ ซึ่งตั้งแต่ต้นปีค่าเงินบาทแข็งขึ้นประมาณร้อยละ 4 ซึ่งอยู่ระดับใกล้เคียงกับภูมิภาคและต่ำกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค เช่น เงินเยน ที่แข็งขึ้นร้อยละ 20 ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมา มีปัจจัยบวกสนับสนุนเศรษฐกิจไทย ทั้งเรื่องของการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านไปด้วยดี และอัตราในการขยายตัวเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ที่เติบโตร้อยละ 3.5 สูงกว่าที่คาดหมายไว้ เป็นปัจจัยบวกให้เงินทุนไหลเข้ามาในตลาดพันธบัตร ซึ่ง ธปท. ได้ติดตามดูความเคลื่อนไหวของเงินบาทอย่างใกล้ชิด และยังไม่พบว่ามีการเข้ามาแสวงผลตอบแทนที่ผิดปกติ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล พร้อมขอให้ภาคเอกชนทั้งผู้ส่งออกและนำเข้าทำประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ เพราะค่าเงินบาท จะมีความผันผวนมากขึ้น ซึ่งมาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก

นายวิรไท ยังกล่าวถึงกรณีมิจาฉาชีพเข้ามาหาประโยชน์จากเทคโนโลยีธุรกรรมทางการเงินใหม่ ๆ ว่า ปัญหาดังกล่าวมีผู้เกี่ยวข้อง 4 กลุ่ม คือ ประชาชน สถาบันการเงิน ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ และหน่วยงานที่กำกับดูแล คือ ธปท. และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ยอมรับว่า เกิดช่องโหว่ใน 4 กลุ่มดังกล่าว โดยเฉพาะภาคประชาชนที่ยังมีความไม่เข้าใจเพียงพอในการรักษาความลับข้อมูลส่วนบุคคล เช่น Username Password ที่ต้องเก็บเป็นความลับ ขณะที่สถาบันการเงินทุกแหล่งจะต้องปิดช่องโหว่ยกระดับเทคโนโลยี

นอกจากนี้ หน่วยงานที่กำกับดูแลทั้ง ธปท. และ กสทช. จะต้องปรับตัวให้ทันและทำงานร่วมกันเพื่อปิดช่องโหว่ดังกล่าว ซึ่งขณะนี้ ธปท. ได้ออกประกาศให้สถาบันการเงิน (E-KYC) สามารถเสนอช่องทางระบบการพิสูจน์ตัวตน ด้วยช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การสแกนลายนิ้วมือ และม่านตา มายัง ธปท. เพื่อพัฒนาระบบการพิสูจน์ให้ทันสมัยมากขึ้น ส่วนเรื่องของชดเชยให้กับผู้เสียหาย ต้องพิจารณาว่าต้นเหตุที่เกิดความเสียหายมาจากความผิดพลาดของหน่วยงานใด ถ้าหากเกิดจากสถาบันการเงินจะต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว

http://www.innnews.co.th/