**ปัจจัยสำคัญ ประจำวันที่ 04/11/58 **

- เปิดตลาดเช้านี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 121.33/37 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเย็นวานนี้ที่ระดับ 120.75/78 เยน/ดอลลาร์

- ส่วนเงินยูโรเช้านี้ อยู่ที่ระดับ 1.0945/0949 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเย็นวานนี้ที่ระดับ 1.0980/0982 ดอลลาร์/ยูโร

- อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท.อยู่ที่ระดับ 35.555 บาท/ดอลลาร์

- คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะมีการประชุมเพื่อกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันนี้ ซึ่งตลาดส่วนใหญ่ยังคาดการณ์กันว่า กนง.ในรอบนี้ยังจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิมที่ 1.50%

- ธปท.เผยธุรกิจขนาดใหญ่เริ่มหันขอสินเชื่อธนาคารแทนออกหุ้นกู้ ทำให้ยอดสินเชื่อรวมขยับเป็น 5.7% ล่าสุดในเดือน ก.ย. 58 พบขอสินเชื่อใหม่กระจุกตัวธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ต่างกับธุรกิจภาคผลิตและขนส่งปรับลดลง โดยเฉพาะรายเล็ก ส่วนลูกค้าเงินออมโยกเงินไปลงทุนกองทุน FIF มากขึ้น

- กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เสนอไทยเพิ่มสิทธิประโยชน์ในการดึงดูดการลงทุน เพื่อหนุนให้ไทยยังคงเป็นฮับการส่งออกต่อไป "พาณิชย์" เตรียมรวบรวมข้อเสนอชงบอร์ดส่งออกพิจารณา เล็งนำกลุ่มอุตสาหกรรมเข้าพบนายกฯ อีกครั้งในเดือนพ.ย.นี้

- นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน  (กกร.)  เปิดเผยว่า กกร. เตรียมเสนอให้รัฐบาลทบทวนขั้นตอนการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของภาครัฐให้มีความรวดเร็ว ในที่ประชุมการแก้ปัญหาความยาก-ง่ายในการทำธุรกิจ (ดูอิง บิสสิเนส) วันที่ 6 พ.ย. นี้  เช่น ให้เพิ่มคณะทำงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่เฉพาะกระทรวงเศรษฐกิจเท่านั้น เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากยังมีปัญหาที่เกี่ยวข้อง เช่น ปัญหาเรื่องยา น้ำ รวมทั้งให้มีการประชุมเป็นประจำเพื่อให้การดำเนินธุรกิจเกิดความคล่องตัวต่อเนื่อง

- ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบสกุลเงินยูโรและเงินเยนเมื่อคืนนี้ (3 พ.ย.) ก่อนการเปิดเผยข้อมูลจ้างงานที่สำคัญของสหรัฐในวันศุกร์ ขณะที่นักลงทุนเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขันอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ ซึ่งอาจจะมีขึ้นในช่วงการประชุมเดือนธ.ค.

- บรรดานักวิเคราะห์คาดว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น จะดึงดูดให้นักลงทุนหันมาสนใจดอลลาร์ เนื่องจากธนาคารกลางอื่นๆทั่วโลกต่างกำลังผ่อนคลายนโยบายการเงิน รวมถึงมีกระแสคาดการณ์กันว่าธนาคารกลางบางแห่งอาจใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายการเงินของเฟดหลายรายต่างก็ออกมาระบุว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจจะเกิดขึ้นในการประชุมนโยบายการเงินในเดือนธ.ค. ตราบใดที่ข้อมูลเศรษฐกิจไม่ได้ย่ำแย่ลงกว่าเดิม

- กระทรวงแรงงานสหรัฐ มีกำหนดเปิดเผยข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนต.ค. ในวันศุกร์นี้ ซึ่งเป็นตัวเลขที่นักลงทุนให้ความสนใจ เนื่องจากตัวเลขจ้างงานนับเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่เฟดจะใช้ประกอบการพิจารณาทิศทางนโยบายการเงิน

- สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า กิจกรรมภาคธุรกิจในนครนิวยอร์กดีดตัวขึ้นในเดือนต.ค. หลังจากร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปีในเดือนก.ย. โดยดัชนีภาวะธุรกิจนิวยอร์กพุ่งขึ้นสู่ระดับ 65.8 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. หลังจากร่วงแตะระดับ 44.5 ในเดือนก.ย.

- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (3 พ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากรายงานที่ว่า บริษัทกลั่นน้ำมันในสหรัฐได้ชะลอการผลิตลงในช่วงเดือนก.ย.-ต.ค. นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้ปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ที่ว่า สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐที่ปรับตัวลงในสัปดาห์ที่แล้ว

โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 1.76 ดอลลาร์ หรือ 3.8% ปิดที่ 47.90 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 1.75 ดอลลาร์ หรือ 3.6% ปิดที่ 50.54 ดอลลาร์/บาร์เรล

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com